วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

องก์ที่ ๒

    จากเหตุกาณ์ที่ผ่านมาวาลิกาลงมาหมู่บ้านบ่อยขึ้นกว่าเดิม ถ้าไม่มากับแม่ก็จะลงมาคนเดียว และทุกครั้งที่วาลิกามาถึงหมู่บ้านหลังจากแวะทักทายครูเสือที่บ้านแล้ว วาลิกาจะมาเดินสำรวจทั่วศาลเจ้าทุกครั้งจึงพบว่ามดคันไฟที่เคยมีจำนวนมหาศาลมาบัดนี้กลับหายไปเกือบหมดสิ้นและมดคันไฟที่เหลือก็ดูจะไม่เกรียวกราดเช่นแต่ก่อนด้วย

ฯลฯ

    เหตุการณ์ผ่านไปอย่างเงียบสงบเช่นเคยอีกราว๑เดือนเต็ม กระทั่งผีตากผ้าอ้อมของเย็นวันหนึ่งขณะที่วาลิกากำลังเดินทางกลับบ้านเพียงลำพังตามปกติ บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงแมลงตัวเล็กๆจะส่งเสียง ถึงวาลิกาเองจะรู้สึกประหลาดใจแต่ไม่เคยมีสิ่งใดทำให้เธอกลัวได้ กลับกันวาลิกาเองเคยประจันหน้ากับเสือเฒ่าขนาดใหญ่สูงร่วม๔ศอก(๒เมตร)มาแล้วซึ่งผลสรุปปรากฏว่า เมื่อเสือเฒ่าตัวนั้นมองเห็นตัววาลิกาก็ขวัญกระเจิงวิ่งเตลิดหายไปในป่าซะนี่ และยังมีอีกหลายครั้งที่วาลิกาเคยประจัญหน้ากับสัตว์ป่าทั้งร้ายและดีซึ่งบทสรุปนั้นก็จบลงเหมือนกับเสือเฒ่า แม้แต่ช้างป่าทั้งโขลงที่เธอหลงมาเจอเข้ายังถึงกับเตลิดหนีจนพื้นที่พังพินาศราบเป็นหน้ากลองเพียงเพราะมองเห็นเธอยืนโบกมือให้ในระยะร้อยหลา เธอจึงไม่สู้จะหวาดเกรงบรรยากาศอันวังเวงวิโหวงเหวงในครั้งนี้นัก

    ระหว่างที่วาลิกากำลังเดินไปเรื่อยตามเส้นทางเดิมๆที่เคยเดินอยู่ประจำ มีบางสิ่งบินข้ามผ่านศีรษะของวาลิกาจากทางด้านหลังไปเกาะอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งวาลิกามองเห็นได้ชัดถนัดตา

    นกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้สูงระดับสายตาของวาลิกา จ้องมองประสานตากับเธอเหมือนจงใจ วาลิการู้สึกแปลกใจที่นกตัวนี้ช่างกล้าสบตาเธออย่างไม่กลัวเกรง เธอจึงเดินเข้าไปพิจารณานกตัวนั้นอย่างใกล้ชิดเพราะนอกจากนกตัวนี้จะมีท่าทีนิ่งเฉยต่อการเข้าหาของเธอแล้วยังมีเส้นขนเป็นประกายสีรุ้งสวยสดงดงามเมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นเช่นนี้ นกประหลาดเช่นนี้เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อน

    วาลิกาเอื้อมมือเข้าหานกตัวนั้นพยายามจะจับตัวไว้ ทันใดนั้นนกประหลาดก็บินขึ้นหายไปในท้องฟ้ายามใกล้ค่ำ ทิ้งไว้เพียงเส้นขนเป็นประกายสีรุ้งเส้นหนึ่งตกลงบนพื้น ด้วยความอยากได้วาลิกาจึงเก็บขนนกเส้นนั้นใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วเร่งเดินกลับบ้านเพราะเวลานี้ฟ้าได้มืดลงแล้ว

    วาลิกาเดินขึ้นบนบ้านพบครูเสือนั่งคุยอยู่กับแม่ของเธอ เธอจึงเข้าไปทักทายตามปกติแล้วจึงร่วมกินมื้อเย็นพร้อมกันโดยมีครูเสือซึ่งไม่ค่อยมาร่วมกินข้าวด้วยกันบ่อยนักเข้ามาเพิ่มอีกคนหนึ่ง

    หลังจบมื้อเย็นวาลิกาจึงหยิบขนนกที่เธอเก็บได้ขึ้นมาให้แม่และครูเสือดูพร้อมเล่าเหตุการณ์ที่พบเจอระหว่างกลับบ้านให้ทั้งสองคนฟัง ครูเสือรู้สึกแปลกใจจึงขอดูขนนกที่วาลิกาถืออยู่วาลิกาจึงยื่นมือส่งให้ แต่ก่อนที่ครูเสือจะหยิบขนนกเส้นนั้นไปแสงไฟจากตะเกียงก็ดับลงเกิดลมกรรโชกพัดเข้าสู่ตัวบ้านขนนกหลุดปลิวหายไปด้วยความรุนแรงของสายลม ประตูและหน้าต่างทั้งหลายเปิดออกจนสิ้น

    กลิ่บสาบประหลาดหาที่มาไม่ได้เริ่มปรากฏ เป็นกลิ่นสาบที่วาลิกาเองไม่เคยรู้จักมาก่อน กลิ่นสาบนั้นแรงขึ้นเรื่อยๆในขณะที่บรรกาศเริ่มมืดลงเรื่อยๆเช่นกัน ด้วยว่าแสงจันทร์ขึ้น๑ค่ำจากภายนอกถูกเมฆดำจำนวนมากปิดบังไว้ ทันใดนั้นข้อมือของวาลิกาก็ถูกจับไว้โดยครูเสือ ครูเสือพาวาลิกาและแม่มาหลบด้านหลังตนและตั้งท่าเตรียมพร้อม

"ยักษ์" ครูเสือพูด นางจันจุดตะเกียงขึ้นแต่แสงนั้นริบหรี่เกินกว่าจะเห็นสภาพโดยรอบจนทั่วได้ วาลิกามองเห็นใบหน้าแสดงถึงความกังวลใจมากกว่าหวาดกลัวต่อยักษ์จากทั้งแม่และครูเสือ

    จากมุมมืดด้านหนึ่งของตัวบ้าน ทั้งสามมองเห็นดวงตาสีแดงเรืองเป็นประกาย๓คู่จ้องมองมาที่ทั้ง๓คนโดยไม่กระพริบ
(ยังไม่จบ)

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

องก์ที่ ๑

    ในปีที่ ๒๙ ของรัชสมัยแห่ง พระเจ้าวัชระ กษัตริย์ลำดับที่ ๓ แห่งราชวงศ์พรหมทร จุดเริ่มต้นของเรื่องราวต่างๆก็ได้เริ่มต้น

บนภูเขาลูกหนึ่งทางตอนเหนือของหมู่บ้านวังพญาสุง สาวน้อยวัย ๑๖ ปี ชื่อว่า วาลิกา อาศัยอยู่กับแม่ชื่อว่า จัน ทั้งสองใช้ชีวิตอย่างสงบตามประสาแม่ลูกเรื่อยมา
นางจัน ผมดำขลับเงาเป็นประกาย
วาลิกา ผมสีเหลืองเป็นเงาดุจประกายสายฟ้า


สองแม่ลูกยังชีพอยู่ด้วยการเก็บของป่าลงไปขายในหมู่บ้านวังพญาสุง วาลิกาจะช่วยแม่เก็บผลหมากรากไม้ต่างๆให้แม่นำลงไปขายในหมู่บ้าน
ช่วยแม่เก็บเห็ด




วาลิกาช่วยแม่เก็บของป่า-ใช้ท่าพระพายล้มสิงขรชกต้นไม้
























   
วาลิกาเองไม่ค่อยได้ตามแม่ลงไปในหมู่บ้านบ่อยนัก เพราะปกติจะมีคนจากหมู่บ้านมารับแม่ไปขายของอยู่เสมอๆซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นครูเสือ ครูสอนมวยของวาลิกาเอง ครูเสือคนนี้สนิทกับครอบครัวมากพอสมควร เพราะครูเสือคนนี้ช่วยเหลือนางจันมาโดยตลอด นอกจากแม่แล้ววาลิกาก็สนิทกับครูเสือเท่านั้นเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เธอจำความได้ และอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฌะอไม่ค่อยอยากลงมายังหมู่บ้านเป็นเพราพวกชาวบ้านชอบจับจ้องเธอเพราะแปลกประหลาดไม่เหมือนคนอื่น ตอนเด็กๆเธอเคยถามแม่อยู่บ่อยครั้งถึงสีผมที่ไม่เหมือนใคแม้แต่แม่ของเธอเอง ซึ่งนางจันก็ได้ชี้แจงไปว่ามันเป็นเพราะกรรมพันธุ์ พร้อมยกเรื่องยีนเด่น ยีนด้อย ยีนแฝง ฯลฯ มาอ้างอิงซึ่งวาลิกาในวัยเด็กฟังไม่รู้ซักเรื่อง เมื่อแม่ฌะอตอบมาอย่างนี้บ่อยๆเข้าเธอจึงเลิกถามไปเอง

นายเสือ ครูสอนมวยของวาลิกา

แต่ก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ครูเสือจะไม่อยู่ และครูเสือก็ไม่เคยบอกวาลิกาว่าไปไหนบ้าง รู้แต่เพียงว่าก่อนออกเดินทางทุกครั้งครูเสือจะมาบอกกำหนดการเดินทางให้แม่และเธอรู้ก่อนเท่านั้น กระทั่งวันหนึ่ง วันหนึ่งในช่วงที่ครูเสือไม่อยู่นั้นระหว่างที่สองแม่ลูกช่วยกันเก็บของป่า นางจันก็เกิดพลาดท่าสะดุดก้อนหินจนข้อเท้าแพลง วาลิกาจึงต้องพาแม่ลงไปยังหมู่บ้าน(ซึ่งวาลิกาเองไม่ค่อยชอบการลงไปยังหมู่บ้านนัก เพราะเธอว่าชาวบ้านชอบมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ)
ไม่แปลกไหวเรอะลูก
    วาลิกาช่วยแบกแม่ที่ข้อเท้าพลิกพร้อมกับกระจาดของป่าที่นำมาขายลงมาส่งถึงในหมู่บ้าน นางจันจึงให้เงินบางส่วนแก่วาลิกาเพื่อให้ไปซื้อของกินระหว่างรอขายของเสร็จ วาลิกาพร้อมเงินจำนวนหนึ่งเดินเที่ยวไปตามแผงร้านต่างๆโดยให้ความสำคัญกับร้านของกินเป็นพิเศษ เพราะเธอเป็นคนไม่เรื่องมากเรื่องการกิน สามารถกินได้เรื่อยๆกินได้ทั้งวันและตลอดวันหากมีของให้เธอกินแต่เธอก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องรูปร่างเลยเพราะถึงเธอจะกินมากขนาดไหนเธอก็ไม่เคยอ้วนเลย มีอยู่หลายครั้งที่เธอเคยสงสัยว่าเธอบริโภคมากผิดปกติรึไม่ แต่แม่ของเธอก็จะตอบอยู่เสมอๆว่า วาลิกามีระบบเผาผลาญดีจึงเจริญอาหาร ซึ่งวาลิกาก็ไม่ค่อยจะเชื่อนักแต่จะเซ้าซี้ไปก็ใช่ที่ เพราะแม่ของเธอจะเริ่มตอบไม่ตรงคำถาม มากเข้าก็เปลี่ยนไปพูดกันคนละเรื่องเลย

    และในวันนี้เองหมู่บ้านดูครึกครื้นมีร้านค้าตั้งมากกว่าปกติ เธอได้ยินพวกชาวบ้านคุยกันว่า มีพวกพ่อค้าจากนีรนครนำสินค้าล่องเรือเข้ามาขายในหมู่บ้านจึงมีสินค้าใหม่ๆแปลกตาเข้ามาขาย ขณะที่วาลิกากำลังเดินเที่ยวเล่นพร้อมกับขาหมูที่อยู่ในมือนั้น เธอก็พบกับชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมหน้าตายืนคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ใต้ร่มต้นไทรบริเวณหน้าศาลเจ้าประจำหมู่บ้านซึ่งมีสภาพใหม่เอี่ยมอ่อง

    ด้วยความสนใจเครื่องเซ่นที่ตั้งอยู่อยู่หน้าศาลเจ้าหลังใหม่ศาลเจ้าใหม่หลังงาม วาลิกาจึงเลียบๆเคียงๆเข้าไปฟังหัวหน้าหมู่บ้านเผื่อจะได้ของดีๆมากินเพราะหัวหน้าหมู่บ้านแกใจดีชอบแจกขนมเด็กๆเพื่อดูศาลเจ้าไม้หลังใหม่ใกล้ๆ

    หัวหน้าหมู่บ้านเห็นวาลิกาเดินโฉบไปเฉี่ยวมาอยู่รอบศาลนั้นจึงเรียกวาลิกาเข้าไปรับขนมที่เพิ่งไหว้เสร็จด้วยรู้จุดประสงค์การมาเยือนอย่างเป็นมิตรของสาวน้อย ด้วยความเกรงใจ เมื่อวาลิกาได้รับขนมแล้วจึงอาสาช่วยเก็บกวาดโต๊ะหมู่บูชาให้สะอาดจะได้เก็บกินไปเรื่อยๆซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านก็ยินดี

    ระหว่างทำความสะอาด วาลิกาก็ได้ทราบเรื่องของศาลเจ้าหลังใหม่จากบทสนทนาของหัวหน้าหมู่บ้านกับชายชุดคลุมคนนั้นว่า ศาลเจ้านี้สร้างจากไม้อย่างดี มีความทนทานสูงอยู่ได้นานนับสิบปี(ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเป็นไม้อะไร) และศาลนี้เป็นของที่ชายในชุดคลุมซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านเรียกว่า"ท่านพ่อค้า"เป็นผู้จัดสร้างและมอบให้โดยไม่คิดเงิน ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านผู้นิยมชมชอบของฟรียิ้มจนแก้มแทบปริ

    แต่ระหว่างที่วาลิกากำลังเก็บกวาดโต๊ะหมู่บูชาเพลินๆอยู่นั้น เธอก็เหลือบมองเข้าไปภายในตัวศาลซึ่งตามปกติจะต้องมีหุ่นบูชาแทนตัวพระภูมิเจ้าที่ตั้งอยู่แต่ทว่าศาลเจ้าหลังนี้กลับมืดทึบอย่างบอกไม่ถูก เธอจึงพยายามเพ่งมองเข้าไปในศาลนั้น ฉับพลันเธอก็รู้สึกตัวเย็นวาบราวกับเป็นเหน็บชาไม่สามารถทรงตัวได้ทรุดลงไปนั่งกับพื้น ถ้วยชามที่เธอถืออยู่ร่วงหล่นเกลื่อนกลาด(โชคดีที่ถ้วยชามพวกนี้ทำจากไม้จึงไม่แตกหักเสียหายอะไร) หัวหน้าหมู่บ้านจึงรีบเข้ามาช่วยเก็บพร้อมให้ขนมวาลิกาเพิ่มเติมเป็นการขอบคุณ(ภารกิจเสร็จสิ้น) วาลิกาจึงขอตัวลากลับไปหาแม่พร้อมกับขนมหอบใหญ่ๆ

    วาลิกาและแม่เดินทางกลับขึ้นเขาด้วยกลวิธีเดียวกันกับตอนที่ลงมา ผ่านทางเดินเส้นเล็กๆในป่าใหญ่ข้ามเนินเขาเล็กๆตรงกลับสู่บ้านซึ่งอยู่ในซอกเขาแห่งหนึ่ง วาลิกาเคยถามแม่อยู่หลายครั้งว่าทำไมต้องออกมาอยู่ห่างไกลผู้คนแทนที่จะลงไปอยู่ในหมู่บ้านกับคนอื่นๆ แม่ของเธอก็ตอบแต่เพียงว่า เราเก็บของป่าขายอยู่ในป่าแบบนี้มันสะดวกดี และการอยู่แบบนี้ปอดภัยกว่า ซึ่งการตอบแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เธอเข้าใจเลยแต่เธอก็ไม่คิดจะถามอะไรต่อเพราะรู้ว่าแม่เธอจะตอบกลับมาคนละเรื่องเช่นเคย

ฯลฯ

    สามวันผ่านไปครูเสือก็กลับมาพร้อมกับของฝากหลายอย่างซึ่งล้วนกินได้ทั้งสิ้น แต่ครั้งนี้แปลกออกไปเพราะครูเสือกลับมาพร้อมกับข่าวเรื่องการหายตัวไปของผู้คนจากหลายหมู่บ้านซึ่งเรื่องนี้ทำให้แม่ของเธอดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็ยังคงดำเนินไปอย่างปกติเช่นเคย

ฯลฯ

    จนกระทั่ง ๑ เดือนผ่านไปก็เกิดเหตุขึ้นเมื่อลูกสาววัย ๕ ขวบของหัวหน้าหมู่บ้านหายตัวไป ทั่วทั้งหมู่บ้านเที่ยวค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ วาลิกาและแม่ของเธอก็ลงมาช่วยค้นหาด้วยเพราะหัวหน้าหมู่บ้านเองก็เคยช่วยนางจันอยู่หลายครั้ง ครูเสือซึ่งมาช่วยค้นหาเห็นว่าการเที่ยวหาไปเรื่อยๆเช่นนี้คงไม่เจอแน่จึงกลับไปทวนถามหัวหน้าหมู่บ้านถึงเรื่องเวลาและสถานที่ที่ลูกสาวหายตัวไป หัวหน้าหมู่บ้านจึงพาไปยังจุดที่ลูกสาวตนหายไปซึ่งก็คือบริเวณศาลเจ้าหลังใหม่นั้นเอง

    ด้านหลังของศาลเจ้านั้นนอกจากจะตั้งอยู่บริเวณโคนต้นไทรใหญ่แล้วยังติดกับแม่น้ำสายหลักที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมาอีกด้วย ซึ่งพวกชาวบ้านเคยลงไปงมหาดูแล้วแต่ก็ไม่พบอะไร ครูเสือกับพวกชาวบ้านจึงช่วยกันเดินตรวจตรารอบศาลเจ้านั้นอย่างละเอียด ทว่า บริเวณรอบๆศาลเจ้านั้นเต็มไปด้วยรังมดคันไฟหลายจุดยิ่งเดินมดก็ยิ่งแตกรังไล่กัดตามขาไปทั่วจึงไม่อาจอยู่นานได้ สร้างความฉงนให้กับชาวบ้านเพราะไม่เคยมีจุดใดในหมู่บ้านที่มดคันไฟจะมารวมตัวกันขนาดนี้มาก่อน หัวหน้าหมู่บ้านจึงขอให้พวกชาวบ้านช่วยกันงมหาในแม่น้ำกันอีกครั้งเผื่อจะพบอะไรเพิ่มเติม ระหว่างที่ชาวบ้านมัวแต่ดำผุดดำว่ายกันอยู่นั้นวาลิกาก็แอบย่องเข้าไปยังตัวศาลเจ้าด้วยมีข้อกังขาบางประการตั้งแต่ครั้งที่มาช่วยเก็บเครื่องเซ่นบัดพลีแล้ว

    วาลิกาเอื้อมมือเข้าไปในตัวศาลเจ้าแต่ก็ต้องรีบดึงมือออกมาเพราะในตัวศาลนั้นอัดแน่นไปด้วยรังมดคันไฟ มือของเธอกระแทกกับขอบประตูศาลเกิดเป็นแผลถลอกที่หลังมือมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยเธอจึงรีบเดินออกมาก่อนจะมีใครเห็น นางจันเห็นแผลที่มือของลูกจึงถามด้วยความเป็นห่วงวาลิกาจึงเล่าเรื่องประหลาดตั้งแต่ครั้งที่มาช่วยเก็บศาลเจ้าจนถึงเรื่องที่ได้แผลนี่ให้นางฟัง

    คืนนั้นนางจันนอนไม่หลับ ในใจนางกำลังคิดทบทวนถึงเรื่องบางอย่างที่นางลืมไปหลายปี จนกระทั่งรุ่งเช้า นางจันรีบพาวาลิกาลงไปยังหมู่บ้านเนื่องจากถึงเวลาจะผ่านไปแล้ว๑วัน๑คืนแต่ก็ยังหาตัวลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านไม่พบ วาลิกาได้ยินครูเสือเล่าให้แม่ฟังว่า ลูกสาวหัวหน้าหายตัวไปตั้งแต่ช่วงเวลาเย็นของ๒วันก่อน พวกชาวบ้านตามหากันทั้งคืนก็ไม่เจอตัว จนกระทั่งวันก่อนที่วาลิกากับแม่ลงมาช่วยหาแต่ก็ยังไม่เจอแม้แต่ร่องรอย ครูเสือและนางจันมีท่าทีกังวลอย่างเห็นได้ชัดเหมือนทราบอะไรบางอย่างเพียงแต่ยังไม่บอกใครเท่านั้น

    ครูเสือปลีกตัวออกไปพบหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งอยู่ในอาการเศร้าโศก พูดคุยกันเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับมาหาวาลิกาและแม่ นางจันจึงให้วาลิกาไปช่วยชาวบ้านตามหาลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน วาลิกาจึงเดินออกไปแต่เมื่อหันกลับมาก็เห็นครูเสือพูดคุยกับแม่อยู่ วาลิกาไม่เคยเห็นแม่มีสีหน้ากังวลขนาดนี้มาก่อน

    ช่วงบ่ายวันนั้น วาลิกาเห็นการเคลียร์พื้นที่ครั้งใหญ่ ชาวบ้านช่วยกันกำจัดมดและปรับพื้นที่ให้สะอาด มีจัดโต๊ะหมู่บูชาชุดใหญ่หน้าศาลเจ้าอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผู้ที่สั่งให้มีการตั้งโต๊ะคือครูเสือเองซึ่งได้แต่งชุดขาวสะพายย่ามซึ่งบรรจุอุปกรณ์สารพัดทั้งหนังสือตำรา ลูกประคำ สายธุรำ ฯลฯ มารอท่าอยู่แล้ว วาลิกาเองก็เพิ่งจะรู้ว่านอกจากวิชามวยแล้ว ครูเสือยังมีความรู้ในเรื่องพิธีกรรมทำนองนี้อีกด้วย

    จนกระทั่งบ่ายแก่ๆ ครูเสือจึงเริ่มวงเส้นด้ายสีขาวเส้นหนึ่งล้อมศาลเจ้า โดยโยงปลายเส้นด้ายข้างหนึ่งเข้าไปผูกไว้กับหุ่นแทนตัวพระภูมิเจ้าที่ มีการจุดเทียนตั้งไว้ทั้ง๔ด้านของศาลเจ้า ครูเสือในชุดขาวถือขันเงินใส่น้ำไว้เกือบเต็มขันก้าวเข้าไปในวงล้อมของด้ายขาวนั้น แล้วนั่งลงในท่าขัดสมาธิบนผืนผ้าที่ปูไว้หันหน้าเข้าประจัญกับศาลเจ้าและเริ่มโอมอ่านพระคาถา

    ครูเสือเริ่มพิธีได้ไม่นานนักเหตุประหลาดก็เริ่มปรากฏ เกิดลมพัดโหมกระหน่ำไปทั่วอาณาบริเวณแต่เปลวเทียนที่จุดไว้ทั้ง๔เล่มกลับไม่ดับลง ชาวบ้านทั้งหลายที่ล้อมวงดูการทำพิธีจับกลุ่มวิพากย์วิจาณ์กันอื้ออึง

    เสียงลมยังคงพัดกระหน่ำอย่างต่อเนื่องจนบางครั้งส่งเสียงคล้ายมีเสียงร้องคำรามมาตามสายลม ต้นไม้ทั่วบริเวณโอนเอนไปมาดูคล้ายกับมีร่างขนาดใหญ่ขยับไหวไปมาตามสายลม ครูเสือจึงหยิบผืนผ้าสีแดงเก่าจวนคร่ำคร่าผืนหนึ่งซึ่งม้วนไว้อย่างดีออกจากย่ามแล้วคลี่ออกจากนั้นจึงเดินนำผ้าแดงผืนนั้นไปผูกโยงไว้กับสายด้ายขาวซึ่งโยงออกมาจากจุดที่ผูกติดกับหุ่นพระภูมิเจ้าที่

    เมื่อจัดทุกอย่างเข้าที่แล้ว ครูเสือจึงใช้๒มือประคองขันเงินขึ้นเหนือศีรษั๑ครั้งแล้วพรมน้ำในขันนั้นลงบนศาลเจ้าทั้งหลัง ทันใดนั้นลมที่พัดอึงอยู่กลับทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลมหมุนพัดเอาฝุ่นผงและใบไม้ขึ้นฟุ้งตลบจนพวกชาวบ้านต้องปิดบังใบหน้าด้วยกลัวฝุ่นผงทั้งหลายจะเข้าตาหูจมูกปาก

    ลมหมุนที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ได้ไม่นานนัก ฝุ่นผงทั้งหลายจึงเริ่มสงบลง ครูเสือและพวกชาวบ้านจึงแลเห็นลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านนอนหลับสนิทอยู่ที่โคนต้นไทรนั้น หัวหน้าหมู่บ้านจึงรีบเข้าไปอุ้มลูกสาวขึ้นมาพร้อมขอบคุณครูเสือเป็นการใหญ่และมอบสินน้ำใจจำนวนหนึ่งให้ แต่ครูเสือไม่ต้องการด้วยว่าสิ่งที่ทำนี้ไม่ใช่การจ้างวานหรึอการกระทำเพื่อหวังค่าตอบแทน หัวหน้าหมู่บ้านพยายามรบเร้าด้วยว่าต้องการให้เพื่อตอบแทนบุญคุณไม่ใช่การจ้างวานอะไร เมื่อรบเร้าบ่อยเข้าครูเสือจึงขอรับไว้เพียง๖เหรียญเท่านั้นเพื่อไม่ให้หัวหน้าหมู่บ้านต้องเสียน้ำใจ

    เมื่อเรื่องจบลงครูเสือจัดการเก็บข้าวของต่างๆให้เรียบร้อย วาลิกาพร้อมเครื่องเซ่นจำนวนหนึ่งในมือจึงเดินเข้ามาช่วยครูเสือเก็บกวาดให้เรียบร้อย

"ครูรู้วิชาพวกนี้ด้วยเหรอ?" วาลิกาถามขึ้นขณะที่มือหนึ่งช่วยเก็บจานและอีกมือหนึ่งกำลังถือขนมอยู่

"มันก็ต้องมีกันบ้าง เวลาเดินทางไปไหนไกลๆมันจะได้ปลอดภัย ไหนๆมีวิชามวยไว้กันคนแล้ว มีวิชาไว้กันอย่างอื่นบ้างจะเป็นไร" ครูเสือตอบขณะที่กำลังปลดผืนผ้าสีแดงนั้นออกจากด้ายโยงสีขาว ก่อนที่ครูเสือจะม้วนผ้าแดงนั้นเก็บลงย่ามไปวาลิกาจึงสังเกตเห็นว่ามีภาพมัวๆคล้ายคนยืนถือกระบองค้ำพื้นประทับอยู่บนผืนผ้าแดงนั้น

"แล้วแม่เราล่ะไปไหนแล้ว?" ครูเสือถามขึ้นขณะเริ่มถอดสายด้ายขาวม้วนเก็บเข้าย่าม

"ตะกี้เห็นไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ค่ะครู"

"แล้วลูกสาวหัวหน้าเป็นยังไงบ้าง?"

"ก็ปกติดีค่ะ หนูถามแล้ว แต่แปลกนะคะแม่ตัวเล็กบอกว่าตั้งแต่คืนแรกที่ชาวบ้านออกตามหากันแกก็อยู่ที่โคนต้นไทรตลอดเลย เห็นแกว่าเป็นตอนที่พวกชาวบ้านออกตามหายังเดินผ่านหน้าแกไปตั้งหลายรอบ แกก็เรียกแล้วแต่เหมือนไม่มีใครรู้ว่าแกอยู่ตรงนั้นเลย แต่แกก็หลับๆตื่นๆอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหนเพราะมีคนบอกให้แกรออยู่ตรงนั้น ครูมั้ยคะว่ามันคืออะไร?"

"ลักซ่อนน่ะ" ครูเสือตอบ "ลูกสาวหัวหน้าโดนบังตาไว้ไม่ให้ใครเห็นตัว ช่วงนี้หลายหมู่บ้านเจอกันบ่อยไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ครั้งล่าสุดที่ครูออกเดินทางก็ได้ยินหลายหมู่บ้านพูดถึงกันอยู่ ที่ช่วยได้ทันก็มีแต่ที่เจอช้าเกินไปก็มีเหมือนกัน"

"แล้วพวกเอาคนไปลักซ่อนนี่เป็นพวกไหนคะ แล้วถ้าเจอช้าไปจะเป็นอะไรรึเปล่า?"

    ครูเสือไม่ตอบ แต่จัดการเก็บม้วนด้ายขาวขนาดใหญ่ลงในย่าม

"ไปตามแม่เราเถอะ มืดแล้วเดี๋ยวครูไปส่ง"

    วาลิกาพร้อมแม่และครูเสือเดินทางกลับขึ้นเขาโดยมีแสงจากตะเกียงที่หัวหน้าหมู่บ้านให้มาคอยนำทาง วาลิกาได้ยินเสียงพึมพำส่อถึงความกังวลของแม่และครูเสือเป็นระยะด้วยเธอเดินนำหน้าทั้งสองคนอยู่และคนที่ถือตะเกียงก็คือครูเสือเอง แต่เสียงสนทนานั้นก็เบาเกินกว่าเธอจะจับใจความได้

    ทั้งสามเดินทางลัดเลาะผ่านน้ำตกขึ้นเขาเข้าสู่ลานกว้างซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขาเป็นปราการตามธรรมชาติ เรือนไม้ชั้นเดียวขนาดกลาง ยกใต้ถุนสูงตั้งอยู่ภายใน ครูเสือส่งวาลิกาและแม่ถึงบ้านแล้ว